จินตนัดดา ลัมะกานนท์ (เกิด 2 พฤษภาคม 2529) ชื่อเล่นว่า แป้งหอม(ก) เป็นที่รู้จักในชื่อ แป้งโกะ เป็นนักร้อง นักดนตรี นักประพันธ์ดนตรี นักแสดง นางแบบ นักออกแบบกราฟิก และจิตรกรแอนิเมชันหญิงชาวไทย มีชื่อเสียงมาจากการเป็นเน็ตไอดอล และจากอินเทอร์เน็ตมีมที่ภายในเวลาไม่นานมีผู้คนมากกว่าหนึ่งล้านคนเข้าชมวีดิทัศน์เธอขับร้องและเล่นดนตรีในเว็บไซต์ยูทูบ
ส่วนชื่อเล่นของจินตนัดดานั้น แหล่งข้อมูลหลายแห่งรายงานไว้ผิดแผกกัน บ้างว่าชื่อ "แป้ง" บ้างว่า "แป้งหอม" เช่น บทความในเว็บไซต์ เด็กดี (21 กุมภาพันธ์ 2554), ผู้จัดการออนไลน์ (22 เมษายน 2554), และ กระปุก (30 พฤษภาคม 2554) รายงานพ้องกัน โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของเธอว่า เธอชื่อเล่นจริงว่า "แป้ง" แต่เป็นที่รู้จักในชื่อ "แป้งโกะ" มากกว่า ชื่อดังกล่าวนี้ มาจากการที่วัยเยาว์มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนชื่อ "แป้ง" หลายคน เพื่อประโยชน์ในการจำแนกตัว เธอจึงเรียกตนเองว่า "แป้งโกกิ" (ชื่อแป้งทำอาหารยี่ห้อหนึ่ง) แล้วต่อมา กร่อนเป็น "แป้งโกะ"
ขณะที่ เว็บไซต์ เอ็มไทย (23 พฤษภาคม 2554) อ้างคำกล่าวของเธอว่า "[ชื่อ 'แป้งโกะ'] เป็นเหมือนฉายา...เพราะจริง ๆ แล้ว ชื่อ 'แป้งหอม' แต่เพื่อน ๆ เรียก 'แป้ง' เฉย ๆ ส่วน 'โกะ' เพื่อน ๆ เรียกกันไปเรียกกันมา ก็เลยกลายเป็นคำติดปากไปเลย"
อย่างไรก็ดี จินตนัดดาให้สัมภาษณ์เองในรายการ เซเว็บบริที (Cewebrity) ของวอยซ์ทีวี เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ว่า ชื่อเล่นจริง ๆ คือ "แป้งหอม" แต่ตัดเหลือ "แป้ง" เพราะเข้าใจว่า "แป้งหอม" ฟังแล้วเชย ต่อมาจึงเติม "โกะ" เข้าไปให้น่ารัก
อนึ่ง จินตนัดดายังได้รับฉายาว่า "สาวล้านวิว" อันเนื่องมาจากมีผู้เข้าชมวีดิทัศน์ของเธอในเว็บไซต์ยูทูบมากกว่าหนึ่งล้านคน ขณะที่สังคมออนไลน์จีนให้ฉายาเธอว่า "เลี่ยง นฺหวี่" (จีน: ??; พินอิน: li?ng n?; มลายู: leng lui) หมายความว่า สาวสวย และญี่ปุ่นเรียกเธอว่า "คะวะอีบังโกะกุ" (????????, Kawaii Bankoku) หมายความว่า สาวกรุงเทพฯ ที่น่ารัก
จินตนัดดาเป็นชาวกรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของณรงค์ ลัมะกานนท์ และภริยา ณรงค์นั้นจัดรายการวิทยุ ทำธุรกิจด้านอาหาร และเปิดร้านอาหารชื่อ บ้านประพักตร์ ซึ่งนำเอาชื่อมารดาของณรงค์เองมาตั้ง
ในวัยเด็ก จินตนัดดาชอบร้องเพลง และฝันใฝ่เป็นนักร้อง ซึ่งบิดามารดาสนับสนุน แต่ไม่เคยประกวดประชันเป็นกิจจะลักษณะ ต่อมาจึงเรียนทั้งดนตรีไทยและดนตรีสากล โดยเฉพาะการเล่นซออู้ ซอด้วง และเปียโน
จินตนัดดาศึกษามัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนหญิงล้วน โรงเรียนราชินีบน ณ ที่นั้น เธอมักขลุกตัวอยู่ในวงดุริยางค์ของโรงเรียน เพราะสนุกสนานกับเครื่องดนตรีต่าง ๆ ในโอกาสหนึ่ง เธอเห็นรุ่นพี่เล่นกีตาร์แล้วชอบใจ จึงหัดเล่นเองระยะหนึ่ง แต่ทิ้งไป โดยเธอให้เหตุผลว่า "...รู้สึกว่ากีตาร์มันตัวใหญ่ เราเล่นไม่ได้หรอก..." ต่อมาเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย จึงหัดกีตาร์อีกครั้งจนเล่นเป็น
นอกจากความชอบดนตรีแล้ว จินตนัดดายังใฝ่ใจในศิลปะ เธอว่า ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะบิดาก็ชอบศิลปะเช่นกัน เมื่อเรียนที่โรงเรียนราชินีบน จินตนัดดาอยู่ชมรมศิลปะ และวาดรูปประกวดหลายครั้ง เธอกล่าวว่า "...[ศิลปะ] เป็นวิชาเดียวที่ได้เกรดเอตลอด แม้จะจำไม่ได้ว่าตัวเองวาดรูปไหนเป็นรูปแรก"
เมื่อจบมัธยมศึกษาตอนต้น บิดามารดาเห็นว่า เธอมีทักษะภาษาต่างประเทศต่ำ จึงให้ไปเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายต่อที่วิทยาลัยเวล์ลิงเทินอีสต์เกิลส์ (Wellington East Girls' College) กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ เป็นเวลาสามปี จินตนัดดาเลือกเรียนสาขาศิลปะเป็นหลัก เธอกล่าวว่าการเรียนต่างประเทศทำให้เธอเป็นผู้ใหญ่ กล้าแสดงออก และพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น เพราะช่วงเวลาสามปีนั้นต้องอาศัยอยู่กับชาวนิวซีแลนด์ซึ่งเธอบรรยายไว้ดังนี้
"...ไม่ค่อยดูแลประคบประหงมเหมือนคนไทย...เราต้องทำตัวให้ทรหดเมื่ออยู่กับเขา...เพราะว่าไปเขาก็ไม่ใส่ใจแป้ง เป็นครอบครัวฝรั่ง มีพ่อแม่ แล้วก็ลูกหนึ่งคน ข้าวกลางวันเขาคลุกข้าวโพดกับน้ำตาลให้เรากิน เราก็กินแบบนี้อยู่เป็นปีเลยค่ะ พอกลางวัน เราต้องทำข้าวกลางวันไปกินเองที่โรงเรียน เขาก็ให้ทูน่ากระป๋องและให้ข้าวมา เราก็ต้องกินแบบนั้น...แป้งจะกลับเมืองไทย...เราก็ออกตั้งแต่หกโมงเช้า ออกจากบ้านตอนตีสี่ เขาก็ไม่ไปส่งเรา [ที่สนามบิน]...ตอนหลัง โรงเรียนก็คอมเพลน [ตำหนิ] ไป...ปีต่อมาเราก็ขอเปลี่ยนโฮสต์ [เจ้าบ้าน]...เป็นครอบครัวจีน ก็ได้กินอิ่ม สบายไป..."
แม้วัยเยาว์ชอบแสดงออก แต่เมื่อเติบโตขึ้นแล้ว ความกล้าแสดงออกเริ่มลดลงตามวัย ในระหว่างเรียนที่ประเทศนิวซีแลนด์ จึงหันไปเขียนอนุทินลงบล็อก เพื่อส่งเรื่องราวและรูปภาพให้ครอบครัว ครั้งหนึ่งเธอให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า "...พอได้เขียนไดอารี ก็เริ่มมีความกล้าเขียนกล้าพูดมากขึ้น แต่ถ้าให้ขึ้นโชว์ก็จะไม่ค่อยกล้า...ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเราต้องขี้อายตอนโต...ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง..." มีผู้ติดตามอ่านและชื่นชอบบล็อกของจินตนัดดาพอสมควร เขาเหล่านั้นเผยแพร่รูปภาพของเธอต่อไปในอินเทอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง ทำให้เธอได้รับความนิยมในสังคมออนไลน์
สำเร็จมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว จินตนัดดากลับมาเรียนอุดมศึกษาที่บ้านเกิดเมืองนอน โดยเข้าศึกษาที่คณะโรงแรมและการท่องเที่ยว ภาคอังกฤษ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล เพราะเห็นว่า ครอบครัวทำธุรกิจอาหาร ประกอบตนเองชอบเที่ยว วิชาการสาขานี้คงเป็นประโยชน์ต่อตนเองและครอบครัว แต่เมื่อเรียนไประยะหนึ่ง เธอเห็นว่าสาขานี้ไม่ต้องตรงความประสงค์ที่แท้จริงของตน จึงลาออกไปสอบเข้าและศึกษาสาขานิเทศศิลป์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเธอเห็นว่า เป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับตนแล้ว
ในระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีนั้น จินตนัดดาเป็นนางแบบนิตยสารด้วย และราว พ.ศ. 2552–2553 เธอได้ฝึกงานที่ เอ็มพี กราฟิกเฮ้าส์ มีหน้าที่ออกแบบตราสัญลักษณ์และรูปลักษณ์สำหรับผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ และเว็บไซต์ต่าง ๆ งานแรกของเธอคือรับจ้างชาวอังกฤษออกแบบแฟลชเกม (flash game)
จินตนัดดาได้สำเร็จเป็นสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต สาขานิเทศศิลป์ เมื่อ พ.ศ. 2553 แล้วศึกษาปริญญาโทสาขาเดียวกันนั้นต่อ เวลาที่จินตนัดดาสำเร็จเป็นบัณฑิตนั้น เป็นช่วงเดียวกับวงดนตรีซิงกูล่าร์ สังกัดโซนีมิวสิก เปิดตัวพร้อมเพลงแรกของวงคือ "เบาเบา" ซึ่งเป็นเพลงแนวอคูสติก ขณะนั้น ผู้กำกับมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าวได้พบรูปภาพของจินตนัดดาที่มีอยู่ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตเข้าก็ต้องใจ จึงติดต่อหา จินตนัดดากล่าวว่า ตอนนั้นเป็นเวลาแปดโมงเช้า และเธอหลับอยู่ จึงลุกขึ้นมารับโทรศัพท์ด้วยความสลึมสลือ เมื่อมิวสิกวิดีโอเพลง "เบาเบา" เผยแพร่แล้ว เพลงดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ในปี 2553 นั้น จินตนัดดาจึงได้แสดงมิวสิกวิดีโอเพลง "เธอบอก" ของ นำโชค ทะนัดรัมย์ และปีต่อมา เพลง "สิวเม็ดใหญ่" ของ พาที สารสิน อีก
หลังเล่นมิวสิกวิดีโอเพลง "เบาเบา" เสร็จ คณะทำงานมิวสิกวิดีโอดังกล่าวทราบอยู่แล้วว่าจินตนัดดาร้องเพลงได้ จึงชี้ชวนไปเป็นนักร้อง โดยให้ไปทดสอบเสียงที่ค่ายเพลง บีลีฟ เรคคอร์ด เมื่อเห็นว่ามีความสามารถดี ค่ายเพลงจึงตกลงทำเพลงด้วยกัน และทำสัญญาในเวลานั้นด้วย แต่เนื่องจากติดเรียนปริญญาโท เธอจึงขอผัดไปคุยรายละเอียดเรื่องเพลงภายหลัง
ระหว่างนั้น จินตนัดดาอัดวีดิทัศน์ตนเองร้องและเล่นกีตาร์เพลง "เบาเบา" แล้วนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553 ซึ่งภายหลังเธอให้สัมภาษณ์ว่า เพียงนึกสนุก เพราะ "มิวสิกวิดีโอเพลง 'เบาเบา' ออกแล้ว นางเอกเพลง 'เบาเบา' ก็ควรออกวิดีโอบ้าง" และกล่าวว่า เธอต้องการทราบผลตอบรับของผู้ฟังเธอร้องเพลง เพื่อหยั่งอนาคตการเป็นนักดนตรีของเธอ มีผู้คนจำนวนมากเข้าชมวีดิทัศน์ดังกล่าวในยูทูบอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าก็มีผู้ชมมากกว่าหนึ่งล้านครั้ง สถิติดังกล่าวไม่เป็นที่คาดหมายได้ของจินตนัดดาเช่นกัน เธอตกใจจนปิดช่องของตนในยูทูบไปชั่วระยะหนึ่ง แต่เพราะมีผู้เรียกร้องให้เธอกลับมา จินตนัดดาจึงเปิดช่องนั้นอีกครั้ง ครั้งหนึ่ง เธอกล่าวว่า "...ตอนแรกที่อัปคลิปร้องเพลงของตัวเองลงยูทูบ ตกใจมาก คนมาดูเยอะมาก คิดว่าเยอะไปรึเปล่า เลยปิดแชแนล [ช่อง] ของตัวเองไปพักหนึ่ง แต่ก็กลับมาเปิด คิดว่าดีที่มีคนมาเมนต์ [วิพากษ์] จะได้มีกำลังใจ มีติบ้าง ชมบ้าง ก็มาพัฒนากัน...ต่อไป..."
ภายหลัง เธอได้อัดวีดิทัศน์ตัวเองร้องเพลงหลายเพลงแล้วนำลงเผยแพร่ในเว็บไซต์ยูทูบ เช่น เพลง "คิสมี" (Kiss Me) ของ วงซิกเปนซ์นอนเดอะริเชอร์ (Sixpence None the Richer) (3 ธันวาคม 2553) "เผื่อลืม" ของ วงวัน-ทู-ทรี โซล (10 ธันวาคม 2553) "เธอคือของขวัญ" ของ นำโชค ทะนัดรัมย์ (31 ธันวาคม 2553) "ทะเลใจ" ของ วงคาราบาว (2 กุมภาพันธ์ 2554) และ "ทะเลสีดำ" ของ กันยารัตน์ ติยะพรไชย (27 พฤศจิกายน 2554) วีดิทัศน์ทั้งหมดนี้มีผู้เข้าชมและแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน
เมื่อว่างเรียนแล้ว จินตนัดดาและค่ายเพลงของเธอจึงเริ่มทำเพลงกัน โดยวางโครงการว่า เพลงของจินตนัดดาจะเป็นแนวอคูสติก หรือไม่ก็แนวที่ฟังง่าย ประสมกับแนวแจซที่เธอชอบเป็นการส่วนตัว และประกอบแนวป๊อปและบอสซาโนวา นอกจากความชอบแล้ว จินตนัดดากล่าวถึงสาเหตุที่เลือกแนวเพลงเช่นนี้ว่า เพราะเธอไม่ชอบเต้น
เดือนพฤษภาคม 2554 จินตนัดดาออกซิงเกิลแรกของตน ชื่อเพลง "โพสต์การ์ด" (Postcard) หมายถึง ไปรษณียบัตร และมีเนื้อหาว่า ในวันแดดล่มลมตก ผู้ร้องนั่งเขียนความในใจลงในไปรษณียบัตรใบหนึ่ง เพียงแต่ไม่ทราบว่าคนที่ควรรับนั้นอยู่ที่ใด เพลงนี้ จินตนัดดาร่วมเขียนเนื้อร้องและทำนองด้วย ต่อมาวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 มิวสิกวิดีโอเพลง "โพสต์คาร์ด" ซึ่งถ่ายทำที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดสมุทรปราการ ได้รับการเผยแพร่ครั้งแรก และเพลงดังกล่าวก็รวมไว้ในอัลบัมรวมเพลงใหม่ของค่าย ที่มีชื่อยาวว่า Believe Compilation 03 Sing It by Wall's Cornetto โคนดนตรี ด้วย
ครั้นวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 จินตนัดดาลงวีดิทัศน์ตนเองร้องและบรรเลงเพลง "เต้าหู้ไข่" ในยูทูบมีผู้ชมเป็นอันมากไม่ต่างกับวีดิทัศน์ก่อน ๆ หน้า ภายหลังเธอให้สัมภาษณ์ว่า เธอเขียนเพลง "เต้าหู้ไข่" เองตั้งแต่ครั้งที่เป็นนักศึกษา มีเนื้อหาตลก และต้องการใช้คำ "เต้าหู้ไข่" เปรียบเปรยถึงความรัก เพราะเขียนเพลงขึ้นระหว่างรับประทานอาหารที่ร้านติ่มซำ เธอกล่าวด้วยว่า อาจบันทึกเสียงแล้วให้เพลงนี้เป็นเพลงแถมในอัลบัมแรกของเธอที่บัดนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการก็ได้ เดือนสิงหาคม 2554 นิตยสาร อะเดย์ มีอายุครบสิบเอ็ดปี และเลือกให้จินตนัดดาขึ้นปก ฉบับที่ 132 ประจำเดือนนั้นด้วย
นอกจากความสนใจในดนตรีและศิลปะแล้ว จินตนัดดายังชื่นชอบการถ่ายภาพและการเดินทาง เธอหวังมาแต่เด็กว่าจะได้เดินทางรอบโลก (circumnavigation) สักครา และเปิดร้านกาแฟ พร้อมเล่นดนตรีสด และขายไปรษณียบัตรที่ทำขึ้นจากภาพซึ่งเธอถ่ายเอง
อนึ่ง นอกจากเป็นนักร้องและนักดนตรีแล้ว จินตนัดดายังทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันตามที่ตนสนใจ เช่น ออกแบบและขายเสื้อผ้าเองที่ตลาดนัดจตุจักรและเทศกาลแฟต ตลอดจนรับออกแบบกราฟิกและแอนิเมชัน ซึ่งเธอทำประจำอยู่ที่ โคตรชิวและหัวกลมสตูดิโอ บรรดาผลงานของเธอนั้น รวมถึง แอนิเมชันมิวสิกวิดีโอเพลง "นิดนึง" ของ พิจิกา จิตตะปุตตะ และกราฟิกรายการ ทรู อะคาเดมี่ แฟนเทเชีย ตั้งแต่ฤดูกาลแรกด้วย (แต่ไม่ปรากฏว่า จินตนัดดายังผลิตรายการดังกล่าวอยู่หรือไม่ หรือถึงฤดูกาลใด) อย่างไรก็ดี เธอวิจารณ์งานของตนเองว่า ยังขาดแนวทางที่แน่นอน โดยเธอกล่าวว่า
"...งานของแป้งเองก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของเอกลักษณ์มากนักว่า เราถนัดหรือชอบงานแบบไหน เวลาไปเจองานสวย ๆ ก็คิดว่าชอบงานแบบนี้ แต่พอสักพักไป เจออีกงาน เราก็ชอบอีกแบบหนึ่ง ช่วงนี้ก็กำลังค้นหาตัวเองอยู่ว่าชอบแบบไหน..."